รับปรึกษากฏหมายธุรกิจ โทร : 061-789-1954
พระนครศรีอยุธยา(อยุธยา) เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัดมีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ และมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน เคยมีชื่อเสียงในฐานะเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นจังหวัดที่ไม่มีอำเภอเมือง มีอำเภอพระนครศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการด้านต่าง ๆ ชาวบ้านโดยทั่วไปนิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "กรุงเก่า" หรือ "เมืองกรุงเก่า"
- คำขวัญประจำจังหวัด : ราชธานีเก่า อู่ข้าวอู่น้ำ เลิศล้ำกานท์กวี คนดีศรีอยุธยา
- ตราประจำจังหวัด : รูปสังข์ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพานแว่นฟ้าภายในปราสาทใต้ต้นหมัน ซึ่งนับถือกัน ว่าเป็นสัญลักษณ์อันประเสริฐ
- ต้นไม้ประจำจังหวัด : หมัน (Cordia dichotoma)
- ดอกไม้ประจำจังหวัด : ดอกโสน (Sesbania aculeata)
- สัตว์น้ำประจำจังหวัด : กุ้งก้ามกรามหรือกุ้งสมเด็จ (Macrobrachium rosenbergii)
เราเป็นสำนักงานกฎหมายที่ให้ บริการทางด้านกฎหมาย ที่ปรึกษาทางกฎหมาย ที่ปรึกษาทำสัญญา เร่งรัดหนี้สิน ว่าความทั่วราชอาณาจักร ประกอบด้วยทีมงานที่มีความรู้ ความสามารถ ความชำนาญ และความเชี่ยวชาญงานแต่ละด้านเป็นอย่างดี จึงสามารถดำเนินการได้มีประสิทธิภาพเทียบเท่ามาตรฐานในระดับสากล
มุ่งเน้นการให้คำปรึกษาและแก้ปัญหาพร้อมทั้งให้ข้อมูลกฎหมายในทุกมิติ เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับลูกค้าของเราอย่างสูงสุดและคิดราคาอย่างยุติธรรม ตามหลักนิติธรรมและจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ ท่านสามารถโทรติดต่อขอคำปรึกษาและสนทนาพูดคุยกับเราได้โดยตรงตลอด 24 ชั่วโมง เราให้การรับรองว่า ทุกคำปรึกษา ทุกการสนทนา จะเป็นประโยชน์แก่ท่านอย่างแน่นอน
มีปัญหาด้านกฎหมาย สัญญาต่างๆ เร่งรัดหนี้สิน การว่าคดีความต่างๆ โทร.
061-789-1954 คุณวิทูร
094-568-7891 คุณพิทูรย์
087-912-0069 คุณวัฒนา
บริษัท ต่อรอง จำกัด
"ต่อรองให้เป็นต่อ"
มีมาตราฐานในการทำงานในระดับนานาชาติและทำงานร่วมกับสำนักกฎหมายอื่นๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างครอบคุลมทุกปัญหา มุ่งเน้นถึงผลประโยชน์ของตัวความเป็นที่ตั้ง พร้อมเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับทุกหน่วยงานไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานของเอกชน หน่วยงานของรัฐ และบุคคลทั่วไป โดยทีมทนายความมืออาชีพ พื้นที่ให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ และคิดราคาอย่างยุติธรรม
งานด้านกฎหมาย • ที่ปรึกษาทำสัญญา • เร่งรัดหนี้สิน • ว่าความทั่วราชอาณาจักร
งานด้านกฎหมาย
- ให้คำปรึกษากฎหมาย ได้แก่ เป็นที่ปรึกษากฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจ มรดก แรงงาน เวนคืนทุกประเภท และรับว่าความเป็นทนายเพื่อเจรจาต่อรอง และแก้ไขข้อพิพาท
- ดำเนินการยื่นฟ้อง คดีแพ่ง คดีอาญา คดีแรงงาน คดีล้มละลาย คดีทรัพย์สินทางปัญญา การร้องขอฟื้นฟูกิจการ รวมไปถึงการยื่นอุทธรณ์และฎีกาและการแก้อุทธรณ์หรือฎีกา
- การบังคับคดีตามคำพิพากษา เช่น การอายัดทรัพย์ การยึดทรัพย์ การขายทอดตลาด การขอกันส่วน การขอเฉลี่ยหนี้ การร้องขัดทรัพย์ และการขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิหรือการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย
งานที่ปรึกษาทำสัญญา
- ให้บริการร่างสัญญาประเภทต่างๆ เช่น สัญญาธุรกิจการค้า สัญญาการเงิน สัญญาร่วมลงทุน สัญญาปรับปรุงโครงสร้างกิจการ สัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้และสัญญาอื่นๆ ทุกประเภท
งานบริการเร่งรัดและติดตามหนี้สิน
- การจัดทำแผนในการเร่งรัดหนี้ เจรจาต่อรองเรียกเก็บหนี้ การประนอมหนี้และการทำแผนการเรียกเก็บหนี้ในกลุ่มลูกหนี้โดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการฟ้องร้องเป็๋นคดีความ
- การสืบหาตัวบุคคลตามหมายจับคดีอาญา สืบหาบุคคลสาบสูญ สืบหาตัวบุคคล
งานว่าความต่างๆ
- ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่สถานประกอบการ รับว่าความคดีในชั้นศาลทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา
ประวัติศาสตร์
พระนครศรีอยุธยาเคยเป็นราชธานี (เมืองหลวง) ของอาณาจักรอยุธยา หรืออาณาจักรสยาม ตลอดระยะเวลา 417 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 1893 กระทั่งเสียกรุงแก่พม่า เมื่อ พ.ศ. 2310 ครั้นเมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนาราชธานีแห่งใหม่ที่กรุงธนบุรี กรุงศรีอยุธยาก็ไม่ได้กลายเป็นเมืองร้าง ยังมีคนที่รักถิ่นฐานบ้านเดิมอาศัยอยู่และมีราษฎรที่หลบหนี้ไปอยู่ตามป่ากลับเข้ามาอาศัยอยู่รอบ ๆ เมือง รวมกันเข้าเป็นเมือง จนทางการยกเป็นเมืองจัตวาเรียกว่า "เมืองกรุงเก่า"
เมื่อ พ.ศ. 2325 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงยกเมืองกรุงเก่าขึ้นเป็น หัวเมืองจัตวา เช่นเดียวกับในสมัยกรุงธนบุรี หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้จัดการปฏิรูปการปกครองทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยการปกครองส่วนภูมิภาคนั้น โปรดให้จัดการปกครองแบบเทศาภิบาลขึ้น โดยให้รวมเมืองที่อยู่ใกล้เคียงกัน 3-4 เมือง ขึ้นเป็นมณฑล มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครอง โดยในปี พ.ศ. 2438 โปรดให้จัดตั้งมณฑลกรุงเก่าขึ้น ประกอบด้วยหัวเมืองต่าง ๆ คือ กรุงเก่าหรืออยุธยา อ่างทอง สระบุรี พระพุทธบาท ลพบุรี พรหมบุรี อินทร์บุรี และสิงห์บุรี
ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมเมืองอินทร์บุรีและเมืองพรหมบุรีเข้ากับเมืองสิงห์บุรี รวมเมืองพระพุทธบาทเข้ากับเมืองสระบุรี ตั้งที่ว่าการมณฑลที่อยุธยา และในปี พ.ศ. 2469 เปลี่ยนชื่อจาก "มณฑลกรุงเก่า" เป็น "มณฑลอยุธยา" ซึ่งจากการจัดตั้งมณฑลอยุธยามีผลให้อยุธยามีความสำคัญทางการบริหารการปกครองมากขึ้น การสร้างสิ่งสาธารณูปโภคหลายอย่างมีผลต่อการพัฒนาเมืองอยุธยาในเวลาต่อมา จนเมื่อยกเลิกการปกครองระบบมณฑลเทศาภิบาล ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 อยุธยาจึงเปลี่ยนฐานะเป็นจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจนถึงปัจจุบัน
ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายบูรณะโบราณสถานภายในเมืองอยุธยา เพื่อเป็นการฉลองยี่สิบห้าพุทธศตวรรษ ประจวบกับในปี พ.ศ. 2498 นายกรัฐมนตรีประเทศพม่าเดินทางมาเยือนประเทศไทย และได้มอบเงินจำนวน 200,000 บาท เพื่อปฏิสังขรณ์วัดและองค์พระมงคลบพิตร เป็นการเริ่มต้นบูรณะโบราณสถานในอยุธยาอย่างจริงจัง ซึ่งต่อมากรมศิลปากรเป็นหน่วยงานสำคัญในการดำเนินการ จนองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโกมีมติให้ประกาศขึ้นทะเบียนอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เป็น "มรดกโลก" เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2534 มีพื้นที่ครอบคลุมในบริเวณโบราณสถานเมืองอยุธยา
ในสมัยอาณาจักรอยุธยามีการแบ่งการปกครองในราชธานีออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่
การปกครองภายในบริเวณกำแพงเมือง โดยในบริเวณกำแพงเมืองก็จะแบ่งออกเป็น 4 แขวงได้แก่
แขวงขุนธรณีบาล
แขวงขุนโลกบาล
แขวงขุนธราบาล
แขวงขุนนราบาล
ต่อมาในสมัยอาณาจักรธนบุรีจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รวมทั้ง 4 แขวงภายในกำแพงเมืองเป็นแขวงเดียวกัน เรียกว่า "แขวงรอบกรุง" และขยายอาณาเขตออกมาเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน และต่อมาเปลี่ยนมาเป็นอำเภอรอบกรุง อำเภอกรุงเก่าและอำเภอพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน ตามลำดับ
การปกครองนอกบริเวณกำแพงเมือง บริเวณนอกกำแพงเมืองแบ่งออกเป็น 3 แขวงได้แก่
แขวงขุนนคร อยู่ทางทิศเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของกำแพงพระนครตั้งแต่ลำน้ำลพบุรีและลุ่มน้ำป่าสัก ต่อมามีการแบ่งออกเป็นแขวง คือทางด้านตะวันตกเป็น แขวงนครใหญ่และด้านตะวันออกเป็นแขวงนครน้อย
แขวงขุนอุทัย อยู่ทางใต้ตั้งแต่เขตของแขวงขุนนครตลอดลงมายังมายังแม่น้ำเจ้าพระยาด้านตะวันออก ต่อมาได้มีการแบ่งออกเป็นแขวง คือ แขวงอุทัยใหญ่และแขวงอุทัยน้อย
แขวงขุนเสนา อยู่ทางด้านตะวันตกมีอาณาเขตด้านเหนือจรดตะวันตกเฉียงใต้ของแขวงขุนนครและตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ต่อมา ได้มีการแบ่งออกเป็นแขวง คือแขวงเสนาใหญ่และแขวงเสนาน้อย
ดังนั้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแขวงในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจึงมีทั้งหมด 7 แขวงคือ
แขวงรอบกรุง
แขวงนครใหญ่
แขวงนครน้อย
แขวงอุทัยใหญ่
แขวงอุทัยน้อย
แขวงเสนาใหญ่
แขวงเสนาน้อย
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการจัดระเบียบการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล มีการรวมเมืองเข้าด้วยกันเป็นมณฑล เปลี่ยนคำเรียกเมือง เป็นจังหวัด แขวง จึงต้องเปลี่ยนเป็น อำเภอ ตามไปด้วย
ต่อมาสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นได้ทรงดำริว่า
อำเภอแต่ละอำเภอมีพลเมืองมากและมีท้องที่กว้างจึงให้แบ่งเขตการปกครองออกไปอีก ในทุกอำเภอยกเว้นอำเภอรอบกรุง อำเภออุทัยใหญ่และอำเภออุทัยน้อยดังนี้
อำเภอนครใหญ่ ให้ทางตอนเหนือคงเป็นอำเภอนครใหญ่และแบ่งเขตท้องที่ตอนใต้ออกเป็น อำเภอนครใน
อำเภอนครน้อย ให้ทางตอนเหนือคงเป็นอำเภอนครน้อยและแบ่งเขตท้องที่ตอนใต้ออกเป็น อำเภอนครกลาง (ต่อมาในปีพ.ศ. 2446เปลี่ยนชื่ออำเภอนครกลางเป็นอำเภอนครหลวงจนถึงปัจจุบัน )
อำเภอเสนาใหญ่ ให้ทางตอนเหนือคงเป็นอำเภอเสนาใหญ่และแบ่งเขตท้องที่ตอนใต้ออกเป็นอำเภอเสนากลาง
อำเภอเสนาน้อย ให้ทางตอนเหนือคงเป็นอำเภอเสนาน้อยและแบ่งเขตท้องที่ตอนใต้ออกเป็น อำเภอเสนาใน
ต่อมาพ.ศ. 2443เปลี่ยนชื่ออำเภออุทัยน้อยเป็นอำเภอพระราชวัง
ในปีพ.ศ. 2450ได้แบ่งเขตท้องที่อำเภอพระราชวังด้านตะวันออก รวมกับ อำเภออุทัยใหญ่ด้านใต้ แล้วยกขึ้นเป็นอำเภออุทัยน้อยแทนอำเภออุทัยน้อยเดิมที่เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอพระราชวัง
ต่อมามีการเปลี่ยนชื่ออำเภอต่างๆให้ตรงกับชื่อตำบลที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอ อำเภอต่างๆของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจึงได้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อใหม่ดังนี้
อำเภอรอบกรุง เป็น อำเภอกรุงเก่าและ เปลี่ยนเป็น อำเภอพระนครศรีอยุธยา
อำเภอนครใหญ่ เป็นอำเภอมหาราช
อำเภอนครใน เป็น อำเภอบางปะหัน
อำเภอนครน้อย เป็น อำเภอท่าเรือ
อำเภอนครหลวง คงเป็นอำเภอนครหลวง ดังเดิม
อำเภอเสนาใหญ่ เป็น อำเภอผักไห่
อำเภอเสนาใน เป็น อำเภอบางบาล
อำเภอเสนากลาง เป็น อำเภอเสนา
อำเภอเสนาน้อย เป็น อำเภอราชคราม และเปลี่ยนเป็น อำเภอบางไทร
อำเภอพระราชวัง เป็น อำเภอบางปะอิน
อำเภออุทัยใหญ่ เป็น อำเภออุทัย
อำเภออุทัยน้อย เป็น อำเภอวังน้อย
และอีก 4 กิ่งอำเภอได้แก่ กิ่งอำเภอลาดบัวหลวง (ขึ้นกับอำเภอบางไทร), กิ่งอำเภอภาชี (ขึ้นกับอำเภออุทัย), กิ่งอำเภอบางซ้าย (ขึ้นกับอำเภอเสนา) และกิ่งอำเภอบ้านแพรก (ขึ้นกับอำเภอมหาราช) ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นอำเภอตามลำดับจนครบในปีพ.ศ. 2502
ปัจจุบันจังหวัดพระนครศรีอยุธยาประกอบด้วย 16 อำเภอ ได้แก่
อำเภอพระนครศรีอยุธยา
อำเภอท่าเรือ
อำเภอนครหลวง
อำเภอบางไทร
อำเภอบางบาล
อำเภอบางปะอิน
อำเภอบางปะหัน
อำเภอผักไห่
อำเภอภาชี
อำเภอลาดบัวหลวง
อำเภอวังน้อย
อำเภอเสนา
อำเภอบางซ้าย
อำเภออุทัย
อำเภอมหาราช
อำเภอบ้านแพรก